1
วัดม่วง ตั้งอยู่ที่บ้านหัวตะพาน หมู่ที่ ๖ ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๗ ไร่ ๓๐ ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ ๗๘ เมตร ติดต่อกับที่ดินนายสมพงษ์ เหลืองสีทอง ทิศใต้ยาว ๘๘ เมตร ติดต่อกับที่ดินของนาย ซัน ตะโนรี และนายสมัคร ยิ้มผาสุก ทิศตะวันออกยาว ๑๓๖ เมตร ติดต่อกับที่ดิน นายสมพงษ์ เหลืองสีทอง ทิศตะวันตกยาว ๑๑๐ เมตร ติดต่อกับที่ดินของนางจรูญ ขจรศรี
พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ มีถนนเข้าถึงวัด อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มี ศาลาการเปรียญกว้าง สร้างด้วยไม้ หอสวดมนต์กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๗ เมตร สร้างด้วยคอนกรีต กุฎิสงฆ์ จำนวน ๗ หลัง เป็นอาคารคอนกรีตและไม้
วัดม่วง สร้างขึ้นเป็นวัด นับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๒๓๐ ต่อมาได้กลายสภาพเป็นวัดร้าง ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศยกขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗
เดิมทีวัดม่วงเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ ณ. แขวงเมืองวิเศษชาญ ซึ่งเคยได้เป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงให้แก่พม่า พม่าได้เผาผลาญบ้านเมือง วัดวาอาราม และพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ คือ ซากปรักหักพังของวัดวาอาราม และพระพุทธรูป ที่อยู่บนเนินมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก
เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ท่านพระคูวิบูลอาจารคุณ ( หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ) ได้มาปักกลดธุงดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้าง จึงน่าปฏิบัติธรรม แต่ขณะปฏิบัติธรรม ได้ปรากฏนิมิต เห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครู เป็นผู้มีบารมี ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วง ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ผู้ที่เคยอาศัยในสมัยก่อนได้มาเกิด และจะมาช่วยท่านแล้ว และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาว และศิลาแดงอยู่ คือ องค์ของหลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง นั้นเอง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาว และศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่า หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง จนถึงปัจจุบันนี้